ถ้าพูดถึงเมืองทาเตยามะ ในภาพจำของหลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึง เส้นทางแอลป์ทาเตยามะอัลไพน์ หรือ กำแพงหิมะ แต่ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ทราบว่าเส้นทางแอลป์ทาเตยามะอัลไพน์ที่ว่านี้ ก็สามารถมา เที่ยวในวันที่หิมะละลายได้ด้วยเช่นกัน .. มาค่ะ มาดูเสน่ห์ของเมืองทาเตยามะ ในแบบที่เจ้และอปลุงได้ไปมา ไปกันเลยค่ะ

 

ขี้เกียจอ่าน ชมคลิปได้ที่นี่ค่ะ

 

 

ทาเตยามะเส้นทางแห่งการแสวงบุญ หากได้ไปเยือนสักครั้งเมื่อตายไปจะได้ไปสู่สวงสวรรค์

เส้นทางภูเขาทาเตยามะเป็นเส้นทางที่มีตำนานเล่าขานกันมาตั้งแต่อดีต ทาเตยามะเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ (Holy Mountain) ของญี่ปุ่นที่มีความเชื่อมากกว่า 1,300 ปีมาตั้งแต่โบราณว่า ถ้าได้ไปเยือนครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตายไปดวงจิตก็จะได้ไปสู่สรวงสวรรค์

คนญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่า “ภูเขา” จะเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น จะมีภูเขาศักดิสิทธิ์ (Holy Mountain) อยู่ 3 ที่ได้แก่ ภูเขาไฟฟูจิ, ภูเขาฮาคุซัง และภูเขาทาเตยามะ ดังนั้น ในแต่ละปีก็จะจึงมี ผู้แสวงบุญ จำนวนมาก ที่ต่างเดินทางมาเยือนภูเขาเพื่อแสวงบุญ และมีความเชื่อหลังความตายที่ว่า ดวงจิตจะไปสู่เส้นทางแห่งสรวงสวรรค์

ตำนานของ Tateyama Mandara เริ่มจาก Ariyori Saeki ผู้บุกเบิกเส้นทางเดินเขาทาเตยามะ และเป็นผู้ที่เผยแผ่ศาสนาพุทธ เมื่อ 1300 กว่าปีก่อน เขาเป็นลูกชายของข้าราชการในเมือง ทาเตยามะ ตามตำนานเล่าขานกันว่าวันหนึ่ง Ariyori Saeki เขาได้ยืม เหยี่ยวขาว จากพ่อของเขาออกไปล่าสัตว์บนภูเขา และในวันนั้นเขาก็ได้ ยิงหมีตัวหนึ่ง ซึ่งหมีได้รับบาดเจ็บและวิ่งหนีเข้าไปในถ้ำบนภูเขา

Ariyori Saeki

 

Ariyori Saeki กับเหยี่ยวสีขาว

 

จากนั้น Ariyori Saeki ก็ได้ตามเข้าไปแต่เขากลับไม่พบหมีแต่เขาได้พบกับพระพุทธเจ้า (Amida Buddha) ในถ้ำแห่งนั้นแทน เขาได้เรียนรู้คำสอนของศาสนาพุทธ หลังจากนั้น เขาก็ได้อุทิศตนเพื่อเผยแผ่ศาสนาพุทธต่อมาจนเป็นเรื่องราวที่เราได้ยินกันจนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่ว่าภูเขาเป็นดินแดนบริสุทธิ์ ดินแดนแห่งสุขาวดี ที่เทพเจ้าสถิตอยู่ ซึ่งเราสามารถดูได้จากภาพวาด ที่สรุปรวมเรื่องราว เส้นทางแห่งภูเขา ศักดิสิทธิ์ ทั้งในส่วนที่เป็นสวรรค์ที่อยู่ของเทพเจ้า และดินแดนที่กล่าวกันว่าเป็น นรกอเวจี อย่าง จิโกกุดานิ (หุบเขานรก) อีกด้วยค่ะ

 

Murodo ความสูง 2,450 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ในวันที่ทาเตยามะไม่มีหิมะเราก็สามารถเดินเที่ยวชมความงามของจุดที่สูงที่สุดของภูเขาทาเตยามะได้ โดยจุดที่พวกเราไปกันก็คือ “Murodo” เป็นจุดที่มีความสูงระดับ 2,450 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม้ในวันที่ไม่มีหิมะ บรรยากาศก็สวยไปอีกแบบนะคะ โดยเฉพาะบรรยากาศสุดแสนจะธรรมชาติ สุด ๆ ทุ่งหญ้าสีเขียวสลับเหลือง ตัดกับ ท้องฟ้าสีฟ้า สูดโอโซนอากาศอันบริสุทธิ์ให้ เต็มปอด ยิ่งถ้าไปวันที่อากาศดี ๆ เรียกได้ว่าสวรรค์บนดินเลยล่ะค่ะ

พอมาถึง Murodo ก็จะเห็นจุดนี้ น้ำบริสุทธิ์จากภูเขา

 

เก็บภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อยค่ะ

ระหว่างทางเดินก็จะได้เห็นดอกไม้นานาพันธุ์ด้วยนะ

 

แผนที่บอกเส้นทางการเดินค่ะ

 

ทางเดินก็เดินได้ง่าย ๆ ค่ะ แต่แค่ต้องเตรียมรองเท้าที่ใส่เดินสบายเท่านั้น

 

เส้นทาง Trekking

ศาลเจ้าโอยามะบนเขาทาเตยามะ

ถ้ามองให้สุดปลายเขาทาเตยามะ ที่ความสูง 3,003 เมตรจากระดับน้ำทะเล ก็จะเห็นศาลเจ้าโอยามะ ตั้งอยู่บนนั้นซึ่งเป็นศาลเจ้า 1 ใน 3 ศาลเจ้าโอยามะทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในเมืองทาเตยามะโดยมีความเชื่อว่า ศาลเจ้าแห่งนี้ จะมีเทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองให้คนที่ขึ้นมา ยังภูเขาทาเตยามะ เดินทางปลอดภัย

 

เห็นศาลเจ้าโอยามะ ลิบ ๆ ไหมคะ

 

ถ้าฟ้าใสอากาศดีก็จะมองเห็นความงามของภูเขาได้

ส่วนตัวเจ้แอบเสียดายอยู่นิดนึงวันที่ไป ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ มีหมอก เมฆ สลับกับฝนปรอย ๆ ฟ้าเปิดแค่ 3 นาทีก็ต้องรีบถ่ายภาพเก็บความทรงจำกันไว้ก่อน ได้เห็นหลังคาศาลเจ้าโอยามะ ที่ปลายยอดเขาลาง ๆ ก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ

 

 

กระท่อมไม้เชิงเขาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

กระท่อมไม้เชิงเขาที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นที่อยู่ใน Murodo มีอายุกว่า 290 ปี และยังได้ถูกกำหนดให้เป็น มรดกทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ จากกระท่อมหลังนี้ เองทำให้พบหลักฐานสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ เช่น โบราณวัตถุทางศาสนา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และนอกจากนี้ก็ยังสันนิษฐานได้ว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินทางขึ้นมายังบนภูเขาทาเตยามะเพื่อแสวงบุญนั่นเองค่ะ

บริเวณด้านหน้าของกระท่อมก็จะเห็นกองหินใหญ่ ๆ ลักษณะคล้ายกรง แต่พอมาดูใกล้ ๆ ก็จะพบกับรูปปั้นเทพเจ้าอยู่ด้านในนั้น ซึ่งทางไกด์ได้อธิบายว่า เหตุที่ต้องทำเป็นกรงครอบ เพราะเวลาที่หิมะตกลงมา จะได้ไม่ไปทับถม ทำลายรูปปั้นเทพเจ้านั่นเองค่ะ และจุดนี้มักจะเป็น จุดที่นักปีนเขามาสักการะ ขอพรให้เดินทางอย่างปลอดภัย

 

ครัวของเทพเจ้า Mikuriga-ike

บึงน้ำสีเขียวมรกตในวันที่อากาศดีก็จะเห็นภาพภูเขาทาเตยามะสะท้อนน้ำ เหตุที่เรียกบึงน้ำแห่งนี้ว่า “ครัวของเทพเจ้า” เพราะเชื่อกันว่าในสมัยโบราณได้มีการนำน้ำที่บึงแห่งนี้ไปปรุงอาหาร เพื่อถวายแด่เทพเจ้านั่นเองค่ะ บ่อแห่งนี้มีเส้นรอบวงประมาณ 630 เมตร มีความลึก 15 เมตร ซึ่งด้านข้าง ๆ ของบ่อน้ำแห่งนี้จะมีบ่อน้ำอีก 2 บ่อได้แก่ Midorigaike และ Chinoike (บึงนรกสีเลือด)

ถ้าฟ้าใสอากาศดีเราก็จะเห็นเงาสะท้อนของภูเขาบนผิวน้ำ

Midorigaike บ่อน้ำสีเขียว

ดอกไม้ที่เจอระหว่างทางเดินค่ะ เอ๊ะ เค้าเรียกว่าดอกไม้หรือเปล่านะ

 

สีสวยดีค่ะ เลยถ่ายเก็บมาฝาก

 

ถ้าฟ้าใสวิวก็จะสวยกว่านี้อีกนะคะ

 

ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีวิวนี้ก็คงจะเทพมาก ๆ แน่เลยค่ะ

 

เส้นทางเดินอีกยาวไกล ไปกันต่อค่ะ

จิโนะอิเกะ หรือ บึงนรกสีเลือด Chinoike (血の池)

เป็นพื้นดินชุ่มน้ำที่มีสีแดงคล้ายสีเลือด กระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ เห็นเป็นบึงน้ำเล็ก ๆ ที่มองด้วยตาเปล่าเราจะเห็นว่า น้ำภายในบึงมีสีแดงเหมือนเลือด ถูกมองว่า เป็นบ่อน้ำ ที่ช่วยเติมเชื้อเพลิงให้กับตำนานแห่งนรกบนภูเขาทาเตยามะ สาเหตุที่บ่อน้ำเป็นสีแดง ก็เนื่องมาจากมีธาตุเหล็กปนอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมากนั่นเอง ดังนั้นบ่อน้ำนี้จึงถูกเรียกว่า “บึงนรกสีเลือด” นั่นเองค่ะ

นกไรโจ ผู้นำสารสู่เทพเจ้า

และด้วยความสูงระดับนี้ถ้าเราโชคดีก็จะได้เห็น “นกไรโจ” (Ptarmigan) หรือ “นกสายฟ้า” Ptarmigan (Thunder bird – AKA Raicho) ซึ่งเป็นนกหายากที่จะผลัดสีขนต่างกันในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว เป็นนกที่ดำรงค์เผ่าพันธุ์ มาตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว

ดังนั้น จึงได้กำหนดให้เป็น อนุสรณ์พิเศษเชิงธรรมชาติ (Special natural monument) ที่จะพบได้ที่นี่เท่านั้น ซึ่งบริเวณ Murodo จะมีนกไรโจอยู่ประมาณ 300 ตัว และนอกจากนี้คนญี่ปุ่นโบราณก็ยังมีความเชื่อว่า นกไรโจ เป็นผู้นำสารสู่เทพเจ้าอีกด้วยค่ะ

 

จิโกกุดานิ (หุบเขานรก) Jigokudani Tateyama

จิโกกุดานิ หรือหุบเขานรก ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 2,300 เมตร เป็นที่ที่ถูกเปรียบเปรยให้เป็น ดั่งดินแดน “นรก” ตามความเชื่อของศาสนาพุทธตั้งแต่สมัยเฮอัน ประมาณปี ค.ศ.794 ซึ่งในบริเวณดังกล่าวปัจจุบันปิดไม่ให้เดินไปรอบ ๆ เพื่อป้องกันอันตรายจาก ก๊าซภูเขาไฟ ที่พุ่งออกมา แต่แค่มายืนยังจุดชมวิวก็ได้กลิ่นกำมะถันแล้วล่ะค่ะ

Midagahara Wetlands

ดินแดนแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,900 เมตร ถือว่าเป็นดินแดน ที่มีลุ่มน้ำขังขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เส้นทางสำหรับการเดินป่า ที่ห้อมล้อมไปด้วยพืช ไม้นานาพันธุ์ตามแบบเทือกเขาแอลป์ และยังได้มีการจดทะเบียน ในอนุสัญญาแรมซาร์ ให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่สำคัญของโลกเมื่อเดือน ก.ค. 2012 ที่ผ่านมาค่ะ แอบเสียดายอยู่นิดนึงวันที่ไปอากาศไม่ดีมาก ๆ เลยแทบจะไม่ได้เห็นวิว อันสวยงามเลยค่ะ แต่อากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ใครแวะไปช่วงวิวสวย ๆ อย่าลืมแวะมาแชร์รูปให้ชมกันด้วยนะคะ

มองไม่เห็นทางเลย ฮือ ฮือ

 

ป้ายบอกทางเดิน ส่วนที่พื้นทางเดินจะทำเป็นไม้ เวลาเดินต้องระวังค่ะ เดี๋ยวจะลื่นได้

 

ฮือ ฮือ … หมอกจาง ๆ  ไอน้ำมาเต็มเลยค่ะ

 

จุดแวะพักรอรถบัสขากลับค่ะ

 

ไม่มีใครจะชิลเท่าอปลุงแล้วล่ะค่ะ

 

จะมีบ่อน้ำแบบนี้ระหว่างทางเดิน บ่งบอกถึงความเป็นดินแดนชุ่มน้ำจริง ๆ ค่ะ

ป้ายบอกเส้นทางการเดินรอบ ๆ บริเวณ Midagahara ซึ่งมีให้เลือกหลายเส้นทางมากเลยค่ะ เจ้แอบเสียดายที่ครั้งนี้อากาศไม่ร่วมมือเลย สงสัยคงจะต้องกลับไปซ้ำที่นี่ใหม่อีกครั้งแล้วล่ะค่ะ

ป้ายขึ้นรถบัสกลับซึ่งมี 2 เส้นทาง ได้แก่ไปยัง Murodo ใช้เวลา 50 นาที และไปยัง Bijodaira ใช้เวลา 30 นาที

ตารางเวลารถบัสค่ะ

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : อนุสัญญาแรมซาร์

คือ สนธิสัญญาระหว่าวงประเทศเพื่อการอนุรักษ์ และเพื่อการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด ยั่งยืนและปลอดภัย ชื่ออย่างเป็นทางการคือ “สนธิสัญญาสากลเพื่อการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีไว้ในการขยายพันธุ์นกน้ำ” และเหตุผลเป็นที่รู้จักในชื่อ อนุสัญญาแรมซาร์ เป็นเพราะว่าสนธิสัญญาได้รับการลงนาม ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่านในปี ค.ศ. 1971

พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และถือเป็นทรัพยากรสำคัญ ต่อชุมชนท้องถิ่น “ทาเทยามะมิดะกะฮาระ ไดนิจิไดระ” ได้รับการลงทะเบียน หลังจากการประชุมเพื่อการทำสัญญาอนุสัญญาแรมซาร์ครั้งที่ 11 และ ในปัจจุบัน (ข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015) ถือว่าเป็นหนึ่งใน 50 สถานที่ ในประเทศที่ได้รับการลงทะเบียนให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสนธิสัญญาดังกล่าว

 

การเดินทาง : จากสถานี Tateyama ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ประมาณ 7 นาที ไปลงที่สถานี Bijodaira แล้วนั่งรถบัสต่ออีกประมาณ 50 นาทีเพื่อไปลงยัง Murodo

ดูค่าโดยสารได้จากที่เว็บไซต์นี้ค่ะ : https://bit.ly/2lYKaKJ

การเดินทางไปยังทาเตยามะ เราจะได้นั่งทั้ง Cable car และรถบัสค่ะ

จุดขายตั๋วหน้าสถานีรถไฟ Tateyama ค่ะ

 

ช่องขายตั๋วพร้อมค่าเดินทางค่ะ

 

ต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดี ๆ เลยนะคะ เพราะเราจะใช้ตั้งแต่ขาไป จนถึงขากลับ

 

ทางขึ้น Cable car

 

ช่องนี้เป็นที่ต่อขึ้นรถบัสค่ะ

 

รถบัสมุ่งหน้าสู่ Murodo

 

รถบัสที่หลังคามองวิวได้ก็มีด้วยนะคะ

 

ของอร่อยที่ซื้อกินได้บนภูเขา Murodo

ซาลาเปาไส้หมูดำ คุโรบุตะ กินง่าย อยู่ท้องค่ะ

 

หรือใครจะลองโซบะก็ได้นะคะ ความเด็ดก็คือเค้าจะใส่ผักท้องถิ่นลงไปในชามด้วย ร้านนี้อร่อยค่ะ

น้ำตกโชเมียว น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น

หากมายังทาเตยามะแล้วไม่แวะชม “น้ำตกโชเมียว” (Shomyo falls) ก็ยังมาไม่ถึงนะคะ เพราะน้ำตกโชเมียวเป็นน้ำตกที่ถือว่าสูงที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความโดดเด่น ที่มีการไหลตกลงมา ของน้ำด้วยความยาว 350 เมตร และตกด้วยส่งเสียงดัง ไม่ขาดสาย ตลอดระยะทางที่ไหลตกลงมา

 

ถึงแล้ว! น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น

บางคนก็บอกว่าเสียงของน้ำตกเหมือนกับเสียงบทสวดในพระพุทธศาสนา ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ น้ำจากหิมะที่อยู่บนเขาทาเตยามะก็จะละลายเป็น “น้ำตกฮันโนกิ” มีความสูง 500 เมตร ซึ่งจะเห็น ปรากฏอยู่คู่กัน แต่ถ้าวันไหนที่มีฝนตกด้วยและปริมาณน้ำเยอะมาก ๆ ณ.บริเวณน้ำตกโชเมียว ก็จะได้เห็นน้ำตกเพิ่มอีกหนึ่งสาย นั่นก็คือ “น้ำตกโซเมน” ซึ่งอยู่ด้านขวาของน้ำตกฮันโนกิ ซึ่งหาชมได้ยากค่ะ

เห็นแค่สายเดียวก็ว้าว มาก ๆ แล้วล่ะค่ะ

 

น้ำใสมาก ๆ
แผนที่ของ  Tateyama Sanroku Area

 

ระหว่างทางเดินไปชมน้ำตกโชเมียว

 

ชมจากบนสะพานก็ได้เหมือนกันค่ะ

 

การเดินทาง : จากรถไฟท้องถิ่น Toyama Dentetsu ลงที่สถานี Tateyama ให้ใช้รถบัส Tateyama Kurobe Kanko ซึ่งมุ่งหน้าไปน้ำตกโชเมียวใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่าโดยสาร 500 เยนต่อเที่ยว แล้วเดินต่ออีกประมาณ 30 นาที

 

ระหว่างทางเดินไปน้ำตก จะมีป้ายบอกตลอดว่าเหลือระยะทางเท่าไหร่ที่จะถึงบริเวณน้ำตก เดินเบิร์นไขมันไปอีกหนึ่งเหนื่อยเลยค่ะ

ป้ายบอกระยะทางที่เหลือ …ฮีบ ฮีบ

สำหรับในทริปหากมีผู้สูงอายุ หรือคนที่เดินไม่ไหวก็สามารถเช่ารถสกู๊ตเตอร์ได้นะคะ โดยค่าเช่าสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ 75 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 1,500 เยน / 90 นาที, บุคคลทั่วไป 2,000 เยน / 90 นาที ช่วยได้เยอะเลยล่ะค่ะ

ตัวช่วยกำลังขาของเราค่ะ

สกู๊ตเตอร์ ใช้งานง่ายมากค่ะ แค่กดคันเร่งตรงแฮนด์รถก็เคลื่อนที่ออกไปแล้ว แต่ถ้าเราปล่อยคันเร่ง รถก็จะหยุดทันที และเราสามารถควบคุมความเร็วได้ด้วยนะคะ

ใช้งานง่ายมาก ๆ เลยค่ะ

 

อปลุง ชิลเลยค่ะ

 

ป้ายแสดงราคาค่าเช่ารถนะคะ

 

วิวก็จะประมาณนี้ค่ะ

 

เดินก็ได้ นั่งรถก็ช่วยเก็บแรงขาได้นิดนึง

 

ไม่บีบคันเร่งรถก็จะหยุดทันทีค่ะ

.

พิกัดจุดจอดรถ Shomyo daira Kyukeisho (称名平休憩所)ก่อนเดินไปยังน้ำตกโชเมียว :

ป้ายแบบนี้นะคะ

พิกัดจาก Google map ค่ะ 

 

การเดินทางไปยัง Tateyama Station :

พวกเราเดินทางออกจากโตเกียวโดยชินคันเซน ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงสถานี โทยามะ (Toyama Station) หลังจากนั้นก็ต่อรถไฟ Toyama Chiho Railway Tateyama Line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีทาเตยามะ (Tateyama Station) แล้วค่ะ

 

อ่านต่อ  5 สถานที่ต้องแวะ เมื่อมาทาเตยามะ

ติดตามพวกเราได้ที่

Facebook Youtube Instagram Twitter

 

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.